รูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2545 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
มาตรฐานการศึกษาและแนวคิดการปฏิรูปการศึกษานั้นกำหนดให้ผู้สอนจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย
เหมาะสมกับธรรมชาติและสนองความต้องการ ความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน
ฝึกทักษะกระบวนการคิด
การจัดการการเผชิญสถานการณ์และประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
มีการจัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ
อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชา
การที่ผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะสามารถจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับหลักการหรือวิธีการที่กำหนดไว้ดังกล่าวข้างต้นนั้น
ผู้สอนจำเป็นจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการสอน วิธีการสอน
เทคนิคการสอนหรือวิธีจัดการเรียนรู้แบบต่างๆ ก่อนที่จะนำไปเขียนแผนการเรียนรู้
ซึ่งข้าพเจ้าใคร่นำเสนอรูปแบบการสอนซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าวข้างต้น
5 รูปแบบดังนี้
1. การจัดการเรียนรู้แบบจัดกรอบมโนทัศน์
( Concept Mapping Technique)
ความหมาย
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนนำมโนทัศน์ในเนื้อหาสาระที่ได้เรียนรู้มาจัดระบบ
จัดลำดับ และเชื่อมโยงความสัมพันธ์แต่ละมโนทัศน์ที่มีความเกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน
ทำให้เกิดกรอบมโนทัศน์ขึ้น
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อฝึกให้ผู้เรียนรู้จักสังเกต
เปรียบเทียบ สรุปและจำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ จัดเป็นระบบหรือหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้อง
2.
ฝึกให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้า
คิดเพื่อให้ได้ความรู้และสามารถสร้างความคิดรวบยอดด้วยตนเอง
3.
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างและสรุปความรู้ด้วยการจัดกรอบมโนทัศน์รูปแบบต่างๆ
ได้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
1.
ขั้นตรวจสอบมโนทัศน์พื้นฐาน ผู้สอนตรวจสอบมโนทัศน์พื้นฐานของผู้เรียนเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้ผู้เรียนเรียนรู้
ซึ่งอาจทำได้โดยให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหรือตั้งคำถามให้ผู้เรียนตอบ
2.
ขั้นระบุมโนทัศน์พื้นฐานที่ผู้เรียนขาด ซึ่งผู้สอนจะต้องระบุมโนทัศน์พื้นฐานที่ผู้เรียนขาดให้ชัดเจน
3.
ขั้นเสริมมโนทัศน์พื้นฐานให้นักเรียน ในกรณีที่นักเรียนยังขาดมโนทัศน์พื้นฐาน
ผู้สอนจะต้องเสริม ซึ่งจะใช้วิธีการอธิบายโดยใช้สื่อต่างๆ ประกอบก็ได้
4.
ขั้นเรียนรู้
ประกอบด้วยขั้นตอนย่อยๆ ดังนี้
4.1 ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาและระบุมโนทัศน์ที่สำคัญจากบทเรียน
ผู้สอนช่วยอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจชัดเจนขึ้น
4.2
ผู้เรียนจัดลำดับมโนทัศน์จากกว้างไปยังมนโนทัศน์รอง
จนกระทั่งถึงมโนทัศน์ที่เฉพาะเจาะจง
4.3 ผู้เรียนจัดมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
4.4 ผู้เรียนเชื่อมโยงมโนทัศน์ต่างๆ เข้าด้วยกัน
5.ขั้นสรุปด้วยกรอบมโนทัศน์ ประกอบด้วย
5.1 เลือกกรอบมโนทัศน์ตัวอย่าง
5.2 ผู้เรียนนำเสนอ
5.3 ผู้เรียนช่วยกันวิจารณ์
5.4 ร่วมกันให้คะแนน
5.5 ผู้สอนเสนอกรอบมโนทัศน์
5.6 ผู้เรียนและผู้สอนช่วยกันสรุป
6. ขั้นการประเมินผล ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้
2.การจัดการเรียนรู้แบบซินเนคติกส์
( Synectics Method)
ความหมาย
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนและการคิดร่วมกันเป็นกลุ่ม
จัดกระบวนการเรียนรู้ตามลำดับขั้นที่กำหนดไว้ โดยอาศัยกระบวนการเปรียบเทียบ
จึงจะสามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนแต่ละคนและของกลุ่มได้
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานที่แปลกใหม่
เป็นการคิดที่อิสระในหลายๆ วิธี
2.
เพื่อฝึกความกล้าในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมือนคนอื่น
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
1. ขั้นบรรยายสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้สอนบรรยายถึงสถานการณ์หรือหัวข้อที่น่าสนใจหรือที่ผู้เรียนกำลังสนใจ
หลังจากนั้นให้ผู้เรียนทบทวนลักษณะความแตกต่าง ให้ผู้เรียนเห็นถึง ความแปลกใหม่
โดยผู้สอนกระตุ้นด้วยคำถามนำ
2. ขั้นการเปรียบเทียบทางตรง
เป็นการเปรียบเทียบระหว่างของสองสิ่งหรือมากกว่า
เพื่อให้ผู้เรียนได้มองเห็นปัญหาอีกแนวหนึ่งเพื่อให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ
โดยผู้สอนใช้คำถามนำ
3. ขั้นเปรียบเทียบกับตนเอง เป็นการนำตนเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
ซึ่งผู้เรียนต้องทำตนเหมือนสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบและบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อตนเองเป็นสิ่งนั้น
เพื่อให้เกิดความคิดแปลกใหม่ โดยผู้สอนเป็นคนตั้งคำถาม
4. ขั้นการเปรียบเทียบโดยใช้คำคู่ที่ความหมายขัดแย้งกัน
โดยนำคำจากการที่ผู้เรียนเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ
ในขั้นตอนที่ 3 เมื่อผู้เรียนได้เลือกคำที่มีความหมายขัดแย้งกันแล้วผู้สอนให้ผู้เรียนเลือกคำที่มีความหมายขัดแย้งหรือตรงข้ามกันมากที่สุด
5. ขั้นเปรียบเทียบทางตรง โดยผู้สอนย้อนกลับมาใช้วิธีการเปรียบเทียบทางตรงอีกครั้ง
โดยใช้คำที่มี่ความหมายขัดแย้งกันที่ผู้เรียนได้เลือกไว้ในข้อ 4 มาเป็นหลัก
6. ขั้นสำรวจงานที่ต้องทำอีกครั้ง ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบแล้วผู้สอนนำไปสู่ปัญหาเริ่มแรก
ซึ่งผู้สอนจะต้องอธิบายหรือตั้งคำถามนำ
3. การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ความรู้
( Constructivism)
ความหมาย
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ของตนเอง
โดยให้ผู้เรียนได้ศึกษา คิด ค้นคว้า ทดลอง ระดมสมอง ศึกษาจากใบความรู้
สื่อหรือแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ
ซึ่งมักจะมีการเชื่อมโยงความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นกับความรู้เดิมที่ผู้เรียนมีอยู่แล้ว
โดยผู้สอนจะเป็นผู้ช่วยเหลือ มีการตรวจสอบความรู้ใหม่
ซึ่งสามารถทำได้ทั้งการตรวจสอบกันเอง ระหว่างกลุ่ม
หรือผู้สอนช่วยเหลือในการตรวจสอบความรู้ใหม่
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยการศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ
จากสื่อการเรียนหรือแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
1.
ขั้นปฐมนิเทศ ผู้เรียนสร้างจุดมุ่งหมายและแรงดลใจในการเรียนรู้ในเนื้อหาที่กำหนด
2.
ขั้นทำความเข้าใจ ผู้เรียนปรับแนวคิดปัจจุบันหรือบรรยายความเข้าใจของตนเองในหัวข้อที่กำลังเรียน
โดยการทำกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การอภิปรายกลุ่ม เขียนผังความคิด
การเขียนสรุปความคิด ฯลฯ
3.
ขั้นจัดโครงสร้างแนวคิดใหม่ เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ โดยประกอบด้วย
3.1 การช่วยผู้เรียนสร้างสรรค์ความรู้ ความเข้าใจใหม่
โดยผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอดใหม่
หรือสร้างความคิดรวบยอดที่ยังไม่สมบูรณ์ขึ้นใหม่
ผู้สอนจะวินิจฉัยความเข้าใจผิดของผู้เรียน ซึ่งสามารถทำได้โดยการสัมภาษณ์
ซักถามผู้เรียนโดยตรง
3.2 การเขียนแผนผังความคิดรวบยอด
โดยผู้เรียนจัดความคิดรวบยอดของคำลงไปในโครงสร้างหรือจัดทำเป็นหมวดหมู่
ระบุความคิดรวบยอดที่ต้องการศึกษาตั้งแต่สองความคิดรวบยอดขึ้นไป
สร้างโครงสร้างความรู้ของความคิดรวบยอดเป็นแผนผังความคิดรวบยอด
นำความรู้ที่ได้มาอภิปรายร่วมกันเป็นกลุ่มและจัดทำเป็นแผนผังความคิดรวบยอดร่วมกัน
3.3 ตรวจสอบความเข้าใจว่าความคิดรวบยอดได้เกิดการเชื่อมประสานระหว่างกันและจัดระเบียบเป็นโครงสร้างความรู้แล้วหรือยัง
1.
ขั้นนำแนวความคิดไปใช้ ในสถานการณ์ต่างๆ
ที่หลากหลายทั้งที่คุ้นเคยและแปลกใหม่
2.
ขั้นทบทวนหรือเปรียบเทียบความรู้ ผู้เรียนจะสะท้อนตนเองว่าแนวความคิดของตนได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก่อนเริ่มเรียนรู้อย่างไร
4. การจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT
ความหมาย
เป็นการจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึงรูปแบบการเรียนรู้ของกลุ่มผู้เรียน
4 คุณลักษณะกับพัฒนาการสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างสมดุล
เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามแบบและความต้องการของตนเองอย่างเหมาะสมและสามารถพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน กับพัฒนาการสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างเท่าเทียม
2.
เพื่อให้ผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความถนัดของผู้เรียนแต่ละประเภทและผู้เรียนมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
3.
เพื่อให้ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะดี
มีปัญญาและมีความสุขในการเรียนรู้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
ส่วนที่ 1 ผู้เรียนแบบที่ 1
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นสร้างคุณค่าและประสบการณ์ของสิ่งที่เรียน
(สมองซีกขวา) ผู้สอนกระตุ้นความสนใจและแรงจูงใจให้ผู้เรียนคิด
โดยใช้คำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนสังเกต ออกไปปฏิสัมพันธ์กัยสภาพแวดล้อมจริงของสิ่งที่เรียน
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นวิเคราะห์ประสบการณ์
(สมองซีกซ้าย) กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้และสนใจในสิ่งที่เรียน
ผู้สอนให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาเหตุผลฝึกทำกิจกรรมกลุ่มอย่างหลากหลาย
ส่วนที่ 2 ผู้เรียนแบบที่ 2
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นปรับประสบการณ์เป็นความคิดรวบยอด
(สมองซีกขวา) เน้นให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์อย่างไตร่ตรอง
นำความรู้ที่ได้มาเชื่อมโยงกับข้อมูลที่ได้ศึกษาค้นคว้า โดยจัดระบบการวิเคราะห์
เปรียบเทียบการจัดลำดับความสัมพันธ์ของสิ่งที่เรียน
ขั้นตอนที่ 4 ขั้นพัฒนาความคิดรวบยอด
(สมองซีกซ้าย) ผู้สอนใช้ทฤษฏี หลักการที่ลึกซึ้ง
เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ และพัฒนาความคิดรวบยอดของตนเองในเรื่องที่เรียน
ส่วนที่ 3 ผู้เรียนแบบที่ 3
ขั้นตอนที่ 5 ขั้นลงมือปฏิบัติจากกรอบความคิดที่กำหนด
(สมองซีกซ้าย) ผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง
สรุปผลการทดลองที่ถูกต้องชัดเจน
ขั้นตอนที่ 6 ขั้นสร้างชิ้นงานเพื่อสะท้อนความเป็นตนเอง
(สมองซีกขวา) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมเพื่อสร้างชิ้นงานตามความถนัด
ความสนใจ ที่แสดงถึงความเข้าใจในเนื้อหาวิชาที่เรียน
ให้เห็นเป็นรูปธรรมในรูปแบบต่างๆ
ส่วนที่ 4 ผู้เรียนแบบที่ 4
ขั้นตอนที่ 7 ขั้นวิเคราะห์คุณค่าและการประยุกต์ใช้
(สมองซีกซ้าย) ผู้เรียนวิเคราะห์ชิ้นงานของตนเองโดยอธิบายขั้นตอนการทำงาน
ปัญหาอุปสรรคในการทำงานและวิธีการแก้ไข
โดยบูรณาการการประยุกต์ใช้เพื่อเชื่อมโยงกับชีวิตจริง/อนาคต
ขั้นตอนที่ 8 ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้กับผู้อื่น
(สมองซีกขวา) ผู้เรียนนำเสนอหรือจัดแสดงผลงานของตนเองในรูปแบบต่างๆ และยอมรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์และข้อคิดเห็นของผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
5. การจัดการเรียนรู้แบบ KWL
( Know-Want-Learned)
ความหมาย
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการอ่าน
ซึ่งสอดคล้องกับทักษะการคิดอย่างรู้ตัวว่าตนคิดอะไร มีวิธีคิดอย่างไร
สามารถตรวจสอบความคิดของตนได้ และสามารถปรับเปลี่ยนกลวิธีการคิดของตนเองได้
วัตถุประสงค์
เพื่อฝึกให้ผู้เรียนมีความตระหนักในกระบวนการเรียนรู้ของตนเองโดยมีการวางแผน
ตั้งจุดมุ่งหมาย ตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง
ตลอดจนมีการจัดระบบข้อมูลความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
1. ขั้น K (What you know)
เป็นการเตรียมความรู้พื้นฐานก่อนการอ่าน เป็นการทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้
ให้ผู้เรียนแต่ละคนเขียนสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับหัวข้อที่ผู้สอนจะให้ผู้เรียนเรียนรู้
เป็นแผนผังความคิดด้วยตนเอง
2. ขั้น W (What you want to know)
2.1 การตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่าน
2.2 ผู้เรียนเขียนคำถาม/สิ่งที่อยากรู้
2.3 เรียนรู้หรือหาคำตอบ
3. ขั้น L (What you have learned) หลังจากการอ่านให้ผู้เรียนเขียนคำตอบที่ได้ลงในกระดาษเปล่ารวมทั้งเขียนข้อมูลอื่นๆ
ที่ศึกษาเพิ่มเติมได้ แต่ไม่ได้ตั้งคำถามไว้
4. ขั้นการเขียนสรุปและนำเสนอ
4.1 ปรับแผนผังความคิดเดิม
4.2 นำเสนอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น